บทที่2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การทำวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยงข้อง
และได้นำเสนอหัวข้อที่เกี่ยวข้องดังนี้
1.กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
การอ่านออกเสียง
มาตราตัวสะกด
2.ปรัชญา
3.จิตวิทยา
4.ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
5.สื่อการสอน
รูบิคมาตราตัวสะกด
บทเพลงเสริมความจำ
6.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
การอ่านออกเสียง
สาระที่ ๑ การอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนําไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน
การดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน
การอ่านเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญและจำเป็นมากในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ในชีวิตประจำวันต้องอาศัยการอ่านจึงจะสามารถเข้าใจและสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.ความหมายของการอ่าน ฉวีลักษณ์ บุญกาญจน (2547:3)ได้ให้ความหมายของการอ่าน คือการบริโภคคา
ที่ถูกเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์
โดยมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เริ่มจาก “แสง” ที่สะท้อนมาจากตัวหนังสือ
ผ่านเลนส์นัยน์ตา และประสาทตา เข้าสู่เซลล์สมองไปเป็นความคิด ความรับรู้ และความจำ
ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
สรุปความหมายของการอ่าน หมายถึง การเข้าใจความหมายของคำ ประโยคข้อความ
และเรื่องที่อ่าน เรื่องที่อ่านมีความสำคัญต่อประเทศชาติ และพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้า
ผู้ที่อ่านมากนอกจากได้รับความรู้อย่างกว้างขวางแล้ว ยังทำให้ผ่อนคลายความเครียด
ซึ่งเป็นประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านนั่นเอง การอ่านเป็นกระบวนการทางสมองที่ต้องใช้สายตาสัมผัสตัวหนังสือหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ
รับรู้และเข้าใจความหมายของคำ ที่ใช้สื่อความคิด ความรู้ ความเข้าใจ
ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ให้เข้าใจตรงกัน และผู้อ่านสามารถ นำเอาความหมายนั้นๆ
ไปใช้ประโยชน์ได้
2. ความสำคัญของการอ่าน
วรรณี โสมประยูร (2544 : 121-123) ได้อธิบายถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือมีผลต่อผู้อ่าน 2 ประการ คือ ประการแรก อ่านแล้วได้ “อรรถ” ประการที่สอง อ่านแล้วได้ “รส” ถ้าผู้อ่านสานึกอยู่ตลอดเวลาถึงผลสำคัญของสองประการนี้ ย่อมจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากหนังสือตรงตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนเสมอ
การอ่านมีความสำคัญต่อทุกคนทุกเพศทุกวัยและทุกสาขาอาชีพ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
มาตราตัวสะกด
ตัวสะกด หมายถึง พยัญชนะที่ทำหน้าที่บังคับเสียงท้ายคำให้มีเสียงและคำตามความต้องการในภาษาไทยแบ่งตัวสะกดออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.ตัวสะกดที่เป็นรูปพยัญชนะเดี่ยวในภาษาไทยมี 8 เสียง ( 8 มาตรา ) ได้แก่
1. แม่กก พยัญชนะในแม่กก คือ ก , ข , ค , ฆ
เช่น จาก สุข นาก เมฆ ฯลฯ
2. แม่กง พยัญชนะในแม่กง คือ ง เช่น จง ปลง กรง สรง ฯลฯ
3. แม่กดพยัญชนะในแม่กดคือ
จ , ช , ซ , ฎ , ฏ , ฐ , ฑ , ด , ต , ถ , ท , ธ , ศ , ส, ษ เช่น
อาจ นุช ก๊าซ กฎ ปรากฎ อูฐ ครุฑ ฯลฯ
4. แม่กน
พยัญชนะในแม่กน คือ ญ , ณ , น , ร , ล , ฬ เช่น ชำนาญ คุณ กิน จร กาล ฯลฯ
5. แม่กบ พยัญชนะในแม่กบ คือ บ , ป , พ , ฟ , ภ
เช่น กราบ บาป ภาพ ลาภ ฯลฯ
6 .แม่กม พยัญชนะในแม่กม คือ ม เช่น กลม จม บ่ม นม ฯลฯ
7. แม่เกย พยัญชนะในแม่เกย คือ ย เช่น ขวย สวย ขาย นาย ฯลฯ
8. แม่เกอว พยัญชนะในแม่ เกอว คือ ว เช่น ราว สาว หนาว พราว ฯลฯ
นอกจากนั้นตัวสะกดที่เป็นพยัญชนะรูปเดี่ยวอาจมีสระประกอบอยู่ด้วย เช่น ญาติ ชาติ
สมบัติ ฯลฯ
2.ตัวสะกดที่เป็นรูปพยัญชนะประสม
ตัวสะกดรูปที่เป็นพยัญชนะประสม คือ ตัวสะกดที่ใช้รูปยัญชนะ 2 ตัวเรียงกันแต่อ่านออกเสียงตัวสะกดเพียงเสียงเดียว เช่น โคตร สูตร จักร
บาตร เนตร ฯลฯ
2.ปรัชญาการศึกษา
ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม
(Progessivism)
ปรัชญานี้ให้กำเนิดขึ้นเพื่อต่อต้านแนวคิดดั้งเดิมที่การศึกษามักเน้นแต่เนื้อหา
สอนให้ท่องจำเพียงอย่างเดียว ทำให้เด็กพัฒนาด้านสติปัญญาอย่างเดียว
ไม่มีความคิดสร้างสรรค์
ไม่มีความกล้าและความมั่นใจในตนเองประกอบกับมีความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ทำให้เกิดแนวความคิดปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมขึ้นปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมเกิดขึ้นใน
ค.ศ.1870 โดยฟรานซิส ดับเบิ้ลยูปาร์คเกอร์ (Francis W. Parker) ได้เสนอให้มีการปฏิรูปการศึกษาเสียใหม่
เพราะการเรียนแบบเก่าเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย แต่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับ
ต่อมา จอห์น ดิวอี้ (John Dewey)ได้นำแนวคิดนี้มาทบทวนใหม่
โดยเริ่มงานเขียนชื่อ School of Tomorrow ออกตีพิมพ์ในปีค.ศ.1915
ต่อมามีผู้สนับสนุนมากขึ้นจึงตั้งเป็นสมาคมการศึกษาแบบพิพัฒนาการ (ProgessiveEducation
Association) (Kneller 1971 : 47) และนำแนวคิดไปใช้ในโรงเรียนต่างๆ
แต่ก็ถูกจู่โจมตีจากฝ่ายปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ปรัชญาการศึกษา สารัตถนิยมกลับมาได้รับความนิยมอีก
จนสมาคมการศึกษาพิพัฒนาการนิยมต้องยุบเลิกไป
แต่แนวคิดทางการศึกษาปรัชญาพิพัฒนาการนิยมยังคงใช้ในสหรัฐอเมริกา
ต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นและแพร่หลายไปยังประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
1.
แนวความคิดพื้นฐาน
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยมมีพ้นฐานมาจากปรัชญาลัทธิประจักษ์วาท (Empirism) ซึ่งเกิดในประเทศอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 17
ต่อมาได้นำอาแนวคิดประจักรวาทมาสร้างเป็นปรัชญาลัทธิใหม่ มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน
เช่น Experimentalism,Pragmatism, Instrumentalism ซึ่งปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมก็มีแนวคิดมาจากปรัชญาดังกล่าวคำว่า
พิพัฒน หรือ Progessive หมายถึง ก้าวหน้า เปลี่ยนแปลง
ไม่หยุด อยู่กับที่สาระสำคัญของความเป็นจริงและการแสวงหาความรู้ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
แต่จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม
บุคคลสามารถแสวงหาความรู้ได้จากประสบการณ์ ประสบการณ์จะนำไปสู่ความรู้
และความรู้เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ปรัชญานี้เน้นกระบวนการ
โดยเฉพาะกระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์เมื่อนำมาใช้กับการศึกษา
แนวทางของการศึกษาจึงต้องพยายามปรับปรุงให้สอดคล้องกับกาลเวลาและภาวะแวดล้อมอยู่เสมอ
การศึกษาจะไม่สอนให้คนยึดมั่นในความจริง ความรู้ และค่านิยมที่คงที่
หรือสิ่งที่กำหนดไว้ตายตัว ต้องหาทางปรับปรุงการศึกษาอยู่เสมอ
เพื่อนำไปสู่การค้นพบความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ (บรรจง จันทรสา 2522 :
244)ปรัชญานี้อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปรัชญาประสบการณ์นิยม (Experimentalism)
2.
แนวความคิดทางการศึกษา มีแนวคิดว่า การศึกษาคือชีวิต
มิใช่เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต หมายความว่า
การที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขจะต้องอาศัยการเข้าใจความหมายของประสบการณ์นิยม
ฉะนั้นผู้เรียนจึงควรจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เหมาะแก่วัยของเขาและสิ่งที่จัดให้ผู้เรียนเรียนควรจะเป็นไปในทางที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจปัญหาชีวิตและสังคมในปัจจุบัน
และหาทางปรับตัวให้เข้ากับภาวะที่เป็นจริงในปัจจุบัน (Kneller 1971 :48 – 53)
ก.
จุดมุ่งหมายของการศึกษา ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม
ไม่มีจุดมุ่งหมายที่ตายตัว
เพราะชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกวัตถุประสงค์ของการศึกษาก็เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
เพื่อให้ผู้เรียนเกิดแนวทางในการแก้ปัญหาแต่ละครั้ง
และเป็นวิถีทางให้เกิดการเรียนรู้ที่ใหม่กว่าต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ส่วนผู้เรียนจะต้องพัฒนาตนเองทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาควบคู่กันไป
เรียนรู้ตามความถนัดและความสนใจสามารถนำความรู้ไปปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างมีความสุข
สามารถแก้ปัญหาได้ ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีวินัยในตนเอง (Self discipline)
ข.
องค์ประกอบของการศึกษา
1) หลักสูตร
ปรัชญานี้ต้องการให้ผู้เรียนเรียนจากประสบการณ์ในชีวิตจริง
เป็นประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับสังคม
หลักสูตรจึงครอบคลุมชีวิตประจำวันทุกรูปแบบที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้เข้าร่วมในประสบการณ์การเรียนรู้ทุกรูปแบบ
หลักสูตรจะเน้นวิชาที่เสริมสร้างประสบการณ์ทางสังคม ตลอดจนชีวิตประจำวัน เนื้อหา
ได้แก่ สังคมศึกษา วิชาทางภาษา วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ แต่ความสำคัญของการศึกษา
พิจารณาในแง่ของวิธีการที่นำมาใช้ คือ กระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์
เพื่อให้ผู้เรียนมีความสารถในการแก้ปัญหาในบทเรียน
และนำเอากระบวนการแก้ปัญหาไปใช้ในชีวิตประจำวัน
2) ครู
ไม่เป็นผู้ออกคำสั่ง
แต่ทำหน้าที่ในการแนะแนวทางให้แก่ผู้เรียนแล้วจัดประสบการณ์ที่ดีที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน
ครูจะต้องมีความรู้และประสบการณ์อย่างกว้างขวาง
รู้จักผู้เรียนเป็นอย่างดีและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
และวางแผนให้เกิดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความสามารถและความต้องการของผู้เรียน
จัดสภาพในโรงเรียนและในห้องเรียนให้พร้อมที่จะศึกษาเล่าเรียนให้ได้ประสบการณ์ตามที่ต้องการ
3) นักเรียน
ปรัชญานี้ให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนมาก ถือว่าผู้เรียน
โดยธรรมชาติมีอินทรีย์ที่จะสืบเสาะแสวงหาประสบการณ์และพร้อมที่จะรับประสบการณ์
(เมธีปิลันธนานนท์ 2523 : 90) ผู้เรียนจะได้ประสบการณ์ด้วยการลงมือกระทำด้วยตนเอง
(Learning
by doing) ผู้เรียนจะต้องมีอิสระในการเลือกตัดสินใจและต้องทำงานร่วมกัน
(Participation) เพื่อให้การเรียนการสอนตรงกับความถนัดความสนใจและความสามารถของผู้เรียน
4) โรงเรียน
ทำหน้าที่เป็นแบบจำลองสังคม โดยเฉพาะแบบจำลองที่ดีงามของชีวิตและประสบการณ์ในสังคม
โดยการจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียนในแต่ละกลุ่ม
เริ่มจากการเรียนรู้พื้นฐานของสังคม ลักษณะอื่นๆของสังคม
โรงเรียนจะต้องสร้างบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตยโดยให้ผู้เรียนได้มีการเรียนรู้สิ่งแปลกๆ
ใหม่ๆมีความพร้อมมีความรู้จัก และเข้าใจสังคมอย่างดี
พอที่จะออกไปปรับปรุงและพัฒนาสังคมได้ (ศักดาปรางค์ประทานพร 2523 : 64 – 65)
5)
กระบวนการเรียนการสอน เป็นการสอนที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child centered) โดยให้ผู้เรียนมีบทบาทมากที่สุด การเรียนเป็นเรื่องการกระทำ (Doing)
มากกว่ารู้ (Knowing) การเรียนการสอนจึงให้ผู้เรียนลงมือกระทำเพื่อให้เกิดประสบการณ์และการเรียนรู้
การกระทำทำให้สามารถแก้ปัญหาได้
ครูต้องจัดประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
การเรียนการสอนใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์ (Problem solving)
3.ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูนเนอร์
บรูนเนอร์
ได้ให้ชื่อการเรียนรู้ของท่านว่า “Discovery Approach” หรือการเรียนรู้โดยการค้นพบ
บรูนเนอร์เชื่อว่า
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ซึ่งนำไปสู่การค้นพบการแก้ปัญหา ผู้เรียนจะประมวลข้อมูลข่าวสาร จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
และจะรับรู้สิ่งที่ตนเองเลือก หรือสิ่งที่ใส่ใจ
การเรียนรู้แบบนี้จะช่วยให้เกิดการค้นพบ เนื่องจากผู้เรียนมีความอยากรู้อยากเห็น
ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้สำรวจสิ่งแวดล้อม และทำให้เกิดการเรียนรู้โดยการค้นพบ
โดยมีแนวคิดที่เป็นพื้นฐาน ดังนี้
1.
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง
2.
ผู้เรียนแต่ละคนจะมีประสบการณ์และพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน
การเรียนรู้จะเกิดจากการที่ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบใหม่กับความรู้เดิมแล้วนำมาสร้างเป็นความหมายใหม่
3.
พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาจะเห็นได้ชัดโดยที่ผู้เรียนสามารถรับสิ่งเร้าที่ให้เลือกได้หลายอย่างพร้อมๆ
กัน
ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ
เน้นที่พัฒนาการเกี่ยวกับความสามารถในการรับรู้และความเข้าใจของผู้เรียนโดยนำหลักการพัฒนาทางสติปัญญาของเพียเจต์
มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาของตนเอง บรูเนอร์ เชื่อว่า
ครูสามารถช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมได้ โดยไม่ต้องรอเวลา
ซึ่งสามารถที่จะสอนได้ในทุกช่วงของอายุ
ขั้นตอนพัฒนาการทางปัญญาของบรูเนอร์
มี 3 ขั้นตอน ดังนี้
Enactive
Representation/mode
Iconic
Representation/mode
Symbolic
Representation/mode
วิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้
วิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของผู้เรียน
ซึ่งคล้ายกับพัฒนาทางเชาว์ปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) ขั้นพัฒนาการที่บรูเนอร์เสนอมี
3 ขั้น คือ Enactive, Iconic และ Symbolic ฉะนั้นวิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้แบ่งออกเป็น 3
วิธีดังต่อไปนี้
1. เอนแอคทีฟ (Enactive mode) วิธีการเรียนรู้ในขั้นนี้จะเป็นวิธีที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
โดยการสัมผัส จับต้องด้วยมือ ผลัก ดึง
รวมถึงการใช้ปากกับวัตถุสิ่งของที่อยู่รอบๆตัว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ
เด็กจะต้องลงมือกระทำด้วยตนเอง เช่น การเลียนแบบ หรือการลงมือกระทำกับวัตถุสิ่งของ
ส่วนผู้ใหญ่จะใช้ทักษะทางการที่ซับซ้อน เช่น ทักษะการขี่จักรยาน เล่นเทนนิส
เป็นต้น
2. ไอคอนนิค (Iconic mode) เมื่อเด็กสามารถที่จะสร้างจินตนาการ หรือมโนภาพ (Imagery)ขึ้นในใจได้ เด็กจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆในโลกได้ด้วย Iconic
mode ดังนั้นในการเรียนการสอนเด็กสามารถที่จะเรียนรู้โดยการใช้ภาพแทนของการสัมผัสจากของจริง
เพื่อที่จะช่วยขยายการเรียนรู้ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ ความคิดรวบยอด กฎและ
หลักการ ซึ่งไม่สามารถแสดงให้เห็นได้
บรูเนอร์ได้เสนอแนะให้นำโสตทัศนวัสดุมาใช้ในการสอน ได้แก่ ภาพนิ่ง โทรทัศน์
หรืออื่นๆเพื่อที่จะช่วยให้เด็กเกิดจินตนาการประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น เด็กประมาณ
5-8 ปี จะใช้ Iconic mode
3. วิธีการที่ใช้สัญลักษณ์
หรือ Symbolic
mode วิธีการนี้ผู้เรียนจะใช้ในการเรียนได้
เมื่อผู้เรียนมีความสามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม
หรือความคิดรวบยอดที่ซับซ้อน
จึงสามารถที่จะสร้างสมมุติฐานและพิสูจน์ว่าสมมุติฐานถูกหรือผิดได้
พัฒนาการทางสมองของบรูเนอร์
เน้นที่การถ่ายทอดประสบการณ์ด้วยลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. Enactive representation
ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุประมาณ 2
ขวบเป็นช่วงที่เด็กแสดงให้เห็นถึงความมีสติ ปัญญาด้วยการกระทำ
และการกระทำด้วยวิธีนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เป็นลักษณะของการถ่ายทอดประสบการณ์ด้วยการกระทำซึ่งดำเนินต่อไปตลอดชีวิต
มิได้หยุดอยู่เพียงในช่วงอายุใดอายุหนึ่ง
บรูเนอร์อธิบายในแง่ที่ว่า เด็กใช้การกระทำแทนสิ่งต่าง ๆ
หรือประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจ
เขาได้ยกตัวอย่างจากการศึกษาของเปียเจท์ ในกรณีที่เด็กเล็ก ๆ
นอนอยู่ในเปลและเขย่ากระดิ่งเล่น ขณะที่เขย่าบังเอิญทำกระดิ่งตกข้างเปลเด็กจะหยุดนิดหนึ่งแล้วยกมือขึ้นดู
เด็กทำท่าประหลาดใจและเขย่ามือเล่นต่อไป
จากการศึกษานี้บรูเนอร์ให้ข้อแนะว่า
การที่เด็กเขย่ามือต่อไปโดยที่ไม่มีกระดิ่งนั้น เพราะเด็กคิดว่ามือนั้นคือกระดิ่ง
และเมื่อเขย่ามือก็จะได้ยินเสียงเหมือนเขย่ากระดิ่งนั่นคือ เด็กถ่ายทอดสิ่งของ
(กระดิ่ง) หรือประสบการณ์ ด้วยการกระทำ ตามความหมายของ บรูเนอร์
เกี่ยวกับเรื่องนี้บรูเนอร์ให้ความเห็นว่า
ในชีวิตประจำวันของเรานั้น บางครั้งจะพบว่าคนโต ๆ
จะยังใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการกระทำ ซึ่งให้ผลดีกว่าการอธิบายด้วยคำพูด
เช่น การสอนคนให้ขี่จักรยาน หรือเล่นเทนนิส หรือการกระทำอื่น ๆ
อีกหลายอย่างเราจะพบว่าวิธีที่ดีที่สุด คือ แสดงให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะได้ผลดีกว่าการอธิบาย
เพราะเราจะพบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่จะอธิบายให้ฟังเป็นขั้นตอน
และบางครั้งก็มิสามารถหาคำพูดมาอธิบายได้ เพื่อให้คนมองเห็นภาพ
แต่ถ้าเรากระทำให้ดู (acting) โดยมิต้องใช้คำพูดอธิบายผู้เรียนจะเข้าใจทันที
ดังนั้นบรูเนอร์จึงมิได้แบ่งพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจให้หยุดอยู่เพียงในระยะแรกของชีวิตเท่านั้น
เพราะถือว่าเป็นกระบวนการต่อเนื่องคนจะนำมาใช้ในช่วงใดของชีวิตอีกก็ได้
2. Iconic representation
พัฒนาการทางความคิดในขั้นนี้อยู่ที่การมองเห็นและการใช้ประสาทสัมผัสต่าง
ๆ จากตัวอย่างของเปียเจท์ดังกล่าวแล้ว เมื่อเด็กอายุมากขึ้นประมาณ 2-3 เดือน
ทำของเล่นตกข้างเปล เด็กจะมองหาของเล่นนั้น ถ้าผู้ใหญ่แกล้งหยิบเอาไป
เด็กจะหงุดหงิดหรือร้องไห้เมื่อมองไม่เห็นของ บรูเนอร์ตีความว่า
การที่เด็กมองหาของเล่นและร้องไห้ หรือแสดงอาการหงุดหงิดเมื่อไม่พบของ
แสดงให้เห็นว่าในวัยนี้เด็กมีภาพแทนในใจ (iconic representation) ซึ่งต่างจากวัย enactive เด็กคิดว่าการสั่นมือกับการสั่นกระดิ่งเป็นของสิ่งเดียวกัน
เมื่อกระดิ่งตกหายไป ก็ไม่สนใจ แต่ยังคงสั่นมือต่อไป
การที่เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
ด้วยการมีภาพแทนในใจ
แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
เด็กโตจะยิ่งสามารถสร้างภาพในใจได้มากขึ้น เช่น การทดลองของบรูเนอร์ (1964)
กับเด็ฏวัย 5-7 ขวบ โดยให้จัดเรียงลำดับแก้วซึ่งมีขนาดต่าง ๆ กัน 9 ใบ
ดังแสดงในรูป
การทดลอง
ครั้งแรกบรูเนอร์ให้เด็กดูภาพจากการจัดแก้ว 9 ใบ ดังแสดงในรูป
ต่อจากนั้นหยิบแก้ว ออกทีละแถว และให้เด็กจัดเองให้เหมือนเดิม จากนั้นหยิบแก้วทั้ง
9 ใบ ออกจากตะแกรงและให้เด็กจัดให้เหมือนเดิม ปรากฏว่าเด็กวัย 5 ขวบ และ 7
ขวบ สามารถทำได้ ความแตกต่างระหว่างเด็ก 2 วัยนี้คือ
เมื่อบรูเนอร์ให้ เรียงสลับ โดยให้เริ่มจากใบใหญ่ให้อยู่ทาง ซ้ายมือ
ปรากฏว่าเด็กวัย 5 ขวบ เริ่มต้นอย่างถูกต้อง แต่แล้วก็งง
ในที่สุดจัดออกมาเหมือนแบบที่ให้ดูตั้งแต่แรก ส่วนเด็กวัย 7 ขวบนั้น
สามารถเรียงสลับได้อย่างถูกต้อง บรูเนอร์จึงสรุปว่า
การเกิดภาพในใจซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจนั้นจะเพิ่มขึ้นตามอายุ
ทั้งนี้เพราะเด็กรู้จักที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ออกมาเป็นสัญลักษณ์ (Symbolic)
3. Symbolic representation
หมายถึงการถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
โดยการใช้สัญลักษณ์หรือภาษา ซึ่งภาษาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความคิด
ขั้นนี้เป็นขั้นที่บรูเนอร์ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดของพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ
เด็กสามารถคิดหาเหตุผล และในที่สุดจะเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้
และสามารถแก้ปัญหาได้
บรูเนอร์มีความเห็นว่าความรู้ความเข้าใจและภาษามีพัฒนาการขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับ การลงมือทำผู้เรียนจะเกิดประสบการณ์ตรง
แล้วใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนสำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงให้ดีขึ้นผู้เรียนมีการปฏิบัติสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ
อย่างหลากหลาย ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ มากมายผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น
แก้ปัญหาได้เมื่อได้ลงมือปฏิบัติผู้เรียนจะจำความรู้ได้แม่นและนานกว่าการท่องจำเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
จากการทำกิจกรรม
สรุป
บรูเนอร์มีความเห็นว่า คนทุกคนจะมีพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจ
โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า acting, imaging และ symbolizing
เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต
มิใช่ว่าเกิดขึ้นเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งในระยะแรก ๆ ของชีวิตเท่านั้น
4.จิตวิทยาการศึกษา
จิตวิทยาการศึกษา
จิตวิทยาการศึกษา (Educational
Psychology) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวกับงานด้านการเรียนการสอน
การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นวิชาที่สำคัญสำหรับครูและนักการศึกษา
กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
แนวคิดนี้เกิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา
โดย John
B. Watson โดยอาศัยแนวคิดพื้นฐานมาจากนักจิตวิทยาชาวรัสเซีย ชื่อ Pavlov
ซึ่งอธิบายถึงการเกิดปฏิกิริยาตอบสนองเพราะการวางเงื่อนไข ดังนั้น
พฤติกรรมทั้งหลายของมนุษย์จึงเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง เนื่องจากจิตไม่มีตัวตน
สิ่งที่สังเกตได้คือ
การแสดงออกในรูปแบบของการกระทำหรือพฤติกรรมซึ่งอาจสังเกตได้โดยตรงจากประสาทสัมผัสหรือด้วยเครื่องมือวัดวิธีการศึกษาของกลุ่มนี้ส่วนมากใช้วิธีการทดลองประกอบกับการสังเกตอย่างมีแบบแผน
แล้วบันทึกไว้เป็นหลักฐาน Watson เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยJohn
Hopkins ได้ประกาศทฤษฎีของเขาในหนังสือ “จิตวิทยาในทัศนะของนักพฤติกรรมนิยม”
โดยมีแนวคิดที่สำคัญ คือ
พฤติกรรมทั้งหลายเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเรากับการตอบสนอง (S-R
Bond) โดยอธิบายว่า เมื่ออินทรีย์ (Organism) ถูกเร้าจะมีการตอบสนองเกิดขึ้น
วิธีการศึกษาของกลุ่มนี้อาศัยการทดลองจากสัตว์
เนื่องจากการทดลองกับสัตว์ง่ายกว่าการทดลองกับคน
และเราสามารถเรียนรู้เรื่องของคนได้จากการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์
วิธีใช้แบบทดสอบ (Testing Method)
เป็นการใช้เครื่องมือที่มีเกณฑ์ในการวัดลักษณะพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งหรือหลายๆพฤติกรรม
โดยให้ผู้รับการทดลองเป็นผู้ทำแบบทดสอบ
ซึ่งอาจเป็นแบบทดสอบข้อเขียนหรือข้อสอบปฏิบัติก็ได้
แบบทดสอบจะช่วยวัดความสามารถด้านต่างๆ ของมนุษย์ รวมทั้งการวัดบุคลิกภาพ อารมณ์
ความถนัด ความสนใจ ทัศนคติ และความคิดเห็นโดยใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยาซึ่งมีหลายประเภท
การใช้แบบทดสอบมีสิ่งที่ควรระวังมากที่สุดคือค่าความเชื่อมั่นและค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบซึ่งควรได้มาตรฐานและสามารแปรผลได้อย่างถูกต้อง
5.สื่อการสอน
รูบิคมาตราตัวสะกด
5.1
แนวคิดและทฤษฏีเรื่องรูบริคสกอร์ (Scoring Rubrics)
รูบิค(Rubrics) มาจากภาษาลาติน “Rubricaterra” เป็นเครื่องหมายสีแดงในที่สำคัญสำหรับนำทาง (กิ่งแก้ว,2550) ในทางการศึกษาคำว่า Rubrics หมายถึง กฎ กติกา (Rule) รูบิคสกอร์ (Scoring Rubrics) เป็นเครื่องมือในการให้คะแนนที่พัฒนาด้วยเกณฑ์การให้คะแนนที่แยกให้เห็นคุณภาพผลงานและประสิทธิภาพตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
ซึ่งความเป็นผลงานปฏิบัติที่วัดกันด้วยผลงาน
โดยผู้เรียนจะทราบจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ก่อนลงมือปฏิบัติ
นักศึกษาต้องทำความเข้าใจและสามารถพัฒนาชิ้นงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์
ผู้เรียนสามารถจะเรียนรู้ข้อผิดพลาด สร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบ
การติดสินคะแนนสามารถทำโดยผู้สอนและผู้เรียนยังได้เรียนรู้สร้างคุณภาพงานในแนวทางเดียวกัน ข้อดีของการใช้รูบิคอีกอย่างหนึ่งคือใช้งานได้ง่ายและอธิบายเหตุผลอย่างชัดเจน
(ไซลัน สาและ,2548)ผลดีจากการใช้รูบิคสกอร์
คือ มีความชัดเจนในการตั้งเป้าหมายงานที่ทำ วิเคราะห์งานได้อย่างละเอียด แม่นยำ
ยืดยุ่นได้ ตัดสินคะแนนจากผลงานที่ปฏิบัติมากกว่ากระบวนการ
คุณลักษณะของรูบิคที่ดี คือ
เป็นชุดคะแนนเพิ่อประเมินผลงานโดยผู้เรียนและผู้สอนที่มีการวัดคุณภาพตรงกับจุดมุ่งหมาย
เที่ยงตรง มีลักษณะต่อเนื่องอย่างเท่าๆกันในแต่ละช่วง
น้ำหนักการให้คะแนนมีคุณภาพสะท้อนคุณภาพของงานได้ตามความเป็นจริงเชื่อถือได้
มีความเที่ยงไม่ว่าใครจะเป็นผู้ประเมินและจะประเมินช่วงเวลาใดก็ตาม
การกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนมี 2
แบบ คือ การกำหนดเกณฑ์โดยภาพรวม (Holistic Score) การประเมินผลงานออกมาเป็นระดับที่บอกผลตามระดับการให้คะแนนเดียว เช่น
การเล่านิทาน ผู้เรียนทำได้ผลในระดับดีมาก พอใช้ หรือต้องปรับปรุง เป็นต้น
การกำหนดเกณฑ์โดยแบบเป็นประเด็นย่อย (Analytic Score) การประเมินจะแบบแต่ละประเด็นแสดงให้เห็นคุณภาพของผลงานด้านต่างๆ
เช่น การใช้จุดสร้างภาพ จะดูคุณภาพของงานจากความมีระเบียบ ความสะอาด ความประณีต
สื่อสารตรงประเด็น มีวัสดุตามโจทย์กำหนด เป็นต้น
5.2บทเพลงเสริมความจำ
เจนเซน (Jensen, 2009:150) กล่าวถึงความสำคัญของดนตรีว่าหากครูนำมาใช้ในชั้นเรียนทำให้บรรยากาศการเรียนรู้มีมิตรภาพมากขึ้น
และเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครูกับนักเรียน
สิริพัชร์
เจษฏาวิโรจน์ (2550:29-30) กล่าวว่า
การใช้เพลงประกอบการสอนจะช่วยทำให้บทเรียนน่าสนใจ สนุกสนานเพลิดเพลิน
ช่วยสร้างแรงจูงใจให้แก่นักเรียนในการเรียน
ช่วยให้จดจำเนื่อหาและประทับความรู้สึกไว้ได้นาน และช่วยทำให้บทเรียนดูง่ายขึ้น
การใช้เพลงประกอบการสอนในระดับประถมศึกษามีประโยชน์มาก เพราะเด็กในวัยนี้ชอบเล่น
ชอบแสดง ชอบร้องเพลง และนอกจากนี้ การใช้เพลงประกอบการสอนยังเป็นการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านของเด็ก
ช่วยเสริมสร้างให้เด็กมีระเบียบวินัย
มีประสบการณ์กว้างขวางและช่วยสร้างสัมพันธภาพอย่างเป็นกันเองระหว่างครูกับนักเรียน
5.3 บัตรคำ บัตรภาพ
Flash
Card (แฟลชการ์ด) หรือบัตรคำ บัตรภาพ บัตรขนาดใหญ่ที่มีคำศัพท์
รูปภาพ ตัวเลข หรือจำนวน
บัตรมีทั้งบัตรคำจริงที่ทำจากกระดาษและบัตรที่ทำผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และดีวีดี เป็นเครื่องมือช่วยจำ
ช่วยกระตุ้นสมองซีกขวา แฟลชการ์ดช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ช่วยพัฒนาทักษะการมองเห็น และทักษะการฟัง แถมยังเป็นกิจกรรมที่ดีสนุกสนานอีกกิจกรรมหนึ่งอีกด้วย
6.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
สมใจ นาคศรีสังข์ (2549: บทคัดย่อ)ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่อง การสร้างแบบฝึกการอ่าน
และเขียนสะกดคำจากแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
ชั้นประถมศึกษาปีที่สี่โรงเรียนตลาดเกาะแรตสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐมเขต2 ในปีการศึกษา2549 จำนวน21คนพบว่า
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้แบบฝึกมีทักษะประสิทธิภาพ 83.98/84.46และผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
สรุป ผลการศึกษางานวิจัยในประเทศ แสดงให้เห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมการพัฒนา
การอ่านและการเขียนสะกดคำ
เพราะแบบฝึกทักษะเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ทำให้การจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายองหลักสูตรอย่างมี ประสิทธิภาพ
เบาชาร์ด (Bouchard. 2002 : Web
Site) ได้ศึกษาความรู้เรื่องความรู้ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่
3 จากความผิดพลาดในการอ่านกับการสะกดคาแม้ว่าเขามีความพยายามอย่างมากระหว่างการอ่านและการสะกดคา
แต่การปฏิบัติงานการอ่านและการสะกดคาของนักเรียนก็มักจะยังแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในความถูกต้องและความผิดพลาดของคา
การวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาการสะกดคาตามความรู้เรื่องคาเชิงพัฒนาใน 4 ด้าน ผลการวิเคราะห์พบว่าการปฏิบัติงานการอ่านของนักเรียนดีกว่าการปฏิบัติงานการสะกดคาอย่างมีนัยสำคัญและพบว่ามีผลของรายงานอย่างมีนัยสำคัญต่อระดับความรู้เรื่องของคาของนักเรียน
ความผิดพลาดด้านการอ่านและการเขียนสะกดคาของนักเรียนต่อไปพบว่า ความผิดพลาดเกี่ยวข้องกับลักษณะทางอักขรวิธีที่เหมือนกันในทุกงานในที่สุด
จากการศึกษาการให้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการสะกดคาและความรู้เรื่องคาของทักษะ ชั้นประถมศึกษาปีที่
3 ของครูพบว่า การให้คะแนนมีความสัมพันธ์อย่างมีนัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น